เทศน์บนศาลา

ธรรมมีผล

๖ มิ.ย. ๒๕๔๘

 

ธรรมมีผล
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์บนศาลา วันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมนะ ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วสร้างบุญญาธิการมาอย่างน้อย ๔ อสงไขย แสนมหากัป เห็นไหม ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สิ่งที่จะได้มาสิ่งนี้ต้องสร้างบุญญาธิการมหาศาล กว่าจะเกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะต้องปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์แล้วพยายามสร้างสมบุญญาธิการ สร้างสมบุญญาธิการมา มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ด้วยตนเอง

แต่สาวกสาวกะ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้จะไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าจะเป็นไปได้ก็ต้องเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น แต่อย่างพวกเรานี่มันไม่ได้เป็นแน่นอนอยู่แล้ว เราไม่มีโอกาสได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเลย เราได้เป็นสาวกสาวกะ เพราะอะไร เพราะเราได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นคว้ามาอยู่นี่ ธรรมถึงมีผล ธรรมจะมีผลต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้ามานะ ก่อนหน้านั้นที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ ขณะนั้นก็ไม่มีธรรมไง ไม่มีธรรม ธรรมนี้มีอยู่โดยดั้งเดิมแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ ขณะที่มีอยู่โดยธรรมชาตินี้ สิ่งนี้ยังไม่มีสถิตมาในหัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าธรรมสถิตในหัวใจองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า นั้นถึงจะมีธรรมไง มันถึงเป็นการสื่อความหมายถึงการแสดงออกของกิริยาของธรรม เห็นไหม เทศน์นี้คือกิริยาของธรรม สิ่งที่เป็นกิริยาของธรรมเป็นอาการของใจ อาการของใจเพราะตัวของธรรม ตัวของใจที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเป็นวิมุตติ สิ่งที่วิมุตตินี้เป็นเหนือในวัฏฏะไง เหนือสิ่งที่จะเป็นสมมุติออกมาที่จะสื่อความหมายกันได้ ขณะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมออกมานั้นเป็นกิริยาของธรรม แล้วเราศึกษากิริยาของธรรมกันนั้นมันต้องย้อนกลับเข้ามาในหัวใจสิ สิ่งที่จะทำได้ เห็นไหม

ในสมัยพุทธกาล เจ้าลัทธิต่างๆ ในจินตนาการของเขา ถ้าไม่มีธรรมนะ พวกพราหมณ์ สิ่งที่เขาเป็นพราหมณ์กันเขาก็มีปัญญาของเขา ดูอย่างเช่นศาสนาเชน เขาถือนะ ถือความบริสุทธิ์ แม้แต่เสื้อผ้าเขาก็ไม่ใส่ เพราะเขาเป็นชีเปลือย เวลาหายใจเขาเอาผ้าคาดปากคาดจมูกไว้ เวลากินอาหาร เขากินด้วยมือของเขา สิ่งนี้เขาบอกว่าเขาไม่ยึดติดไง

ความจินตนาการของผู้ที่มีปัญญา ปัญญาทางโลกียปัญญา ว่าความบริสุทธิ์คือการไม่ยึดติด สิ่งที่ไม่ยึดติดจะไม่ยอมยึดติดสิ่งใดเลย แม้แต่การหายใจก็ว่าสิ่งนั้นมีชีวะมีชีวิต ปิดไว้เพราะเราไม่ต้องการทำบาปไง เราไม่ต้องการทำบาป เราไม่ต้องการฆ่าสัตว์ เราไม่ต้องการหายใจสิ่งที่มีชีวิตเข้าไปในร่างกายของเรา นี่ความจินตนาการของเขา สิ่งที่ความเป็นจินตนาการของเขา เห็นไหม ธรรมไม่มีผล ไม่มีผลเพราะความคาดหมายผิด

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้มีผล มีผลเพราะเกิดขึ้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบุญญาธิการมาก่อน สิ่งที่สร้างบุญญาธิการมา มีจริตมีนิสัย มีศรัทธามีความเชื่อ ขณะที่ว่าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มีความสุขในกามอารมณ์ ในกามคุณ ๕ มหาศาล เพราะพระเจ้าสุทโธทนะต้องการเอาไว้ให้เป็นกษัตริย์ สิ่งต่างๆ ในการเป็นกษัตริย์ ชีวิตของกษัตริย์ ทุกอย่างจะสมความปรารถนาในเรื่องของโลกียะ ในเรื่องของทางโลกเขา นี่สิ่งนี้ต้องมีความสุข

ความสุขของโลก เห็นไหม ความสุขแบบโลก แต่เพราะมีการสร้างบุญญาธิการมา หัวใจมันถึงมีสิ่งที่ว่าเรียกร้องความเป็นไปจากภายในไง เรียกร้องความเป็นไปจากภายใน เพราะจิตนี้มันไฟสุมขอน จะสุขขนาดไหนมันก็สุขเรื่องของร่างกาย แต่เรื่องของหัวใจมันมีความอาลัยอาวรณ์ มันมีความคิดมีความใฝ่หา สิ่งที่ใฝ่หาที่ว่าจะออก แม้แต่ยมทูตมาแสดงให้เห็นเท่านั้นเองว่าการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย สิ่งนี้มันก็สะเทือนหัวใจ เพราะอะไร เพราะบุญญาธิการมหาศาล

ออกไปประพฤติปฏิบัตินะ ไปร่ำเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ ในเมื่อธรรมยังไม่มีผล ผู้ที่สั่งสอนไม่มีไง ทีนี้ผู้ที่สั่งสอนไม่มี ธรรมไม่มีผล แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ สมบุกสมบันอยู่ ๖ ปี สิ่งที่เป็น ๖ ปีนี่สมบุกสมบันขนาดไหน ทุกข์ขนาดไหน เพราะการทำความเพียร

ขณะในปัจจุบันนี้เวลาเรานั่งสมาธิ เราพยายามทำความสงบของใจ เราก็รู้ว่าสิ่งนี้ การหักห้ามใจ การทำใจให้ไม่ฟุ้งซ่านไป มันเป็นความทุกข์ ความทุกข์อย่างยิ่ง เป็นความทุกข์นะ เราบ่นกันว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์ เราต้องการมีความสุข เราจะปรารถนาหาความสุข แล้วเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเรามีวาสนาเหมือนกัน ในหัวใจเราก็มีวาสนา ต้องการประพฤติปฏิบัติ เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อสิ่งที่ครูบาอาจารย์จะชี้นำไง ว่าความสุขเท่ากับความสงบของใจไม่มี สุขในโลกนี้จะสุขขนาดไหน สิ่งนี้เป็นของสมมุติ สิ่งนี้เป็นของชั่วคราว สิ่งนี้เป็นของอนิจจัง สิ่งนี้ไร้สาระมาก มันเป็นการล่อให้สัตว์โลกติดอยู่ในโลกนี้ไง

แต่ถ้าเราจะเอาความสุขของเรา เราเชื่อแล้ว เราประพฤติปฏิบัติ มันก็ยังมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากทำให้เราทุกข์ยากขนาดนี้ไง แล้วเจ้าชายสิทธัตถะขณะที่ออกประพฤติปฏิบัติ...ใช่ มีบุญญาธิการ เพราะปรารถนามา สร้างบุญญาธิการมหาศาล แต่การประพฤติปฏิบัตินั้นมันก็ต้องมีความทุกข์ในหัวใจ มันต้องมีการขับไสในหัวใจเหมือนกัน

นี่เจ้าชายสิทธัตถะก็ไปเรียนกับเจ้าลัทธิต่างๆ สมบุกสมบันมา ทรมานตนมาขนาดไหน เพราะในขณะนั้น ผู้ที่เขาประพฤติปฏิบัติอยู่นั้นเขาทำ จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว บอกเลยว่า สิ่งที่ภิกษุไม่ควรเสพสองส่วน อัตตกิลมถานุโยค การประพฤติปฏิบัติให้มันทุกข์ไปเปล่าๆ ไง สิ่งที่ความประพฤติปฏิบัติอย่างเขา อุกฤษฏ์ขนาดนั้น อุกฤษฏ์แต่เรื่องของความคิดของโลก อุกฤษฏ์ในเรื่องของทรมานร่างกายไง แต่มันไม่ได้ทรมานหัวใจ เพราะมันยังไม่มีเครื่องมือ ไม่มีเครื่องมือคือยังไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่มีแผนที่เครื่องดำเนิน เพราะไม่มีธรรม

แต่ขณะในปัจจุบันนี้มีแผนที่เครื่องดำเนิน เพราะมีธรรม เพราะมีธรรมเราถึงมีโอกาสประพฤติปฏิบัติ ธรรมจะมีผลต่อเมื่อครูมีอาจารย์ชี้นำนะ ถ้าผิดมาแต่ต้น มันก็จะผิดไปตลอด ถ้าถูกมาแต่ต้นนะ หลวงปู่มั่นเทศน์ไว้ บอกว่า ถ้าผิดมาแต่ต้น ต้นมันผิดแล้วผลมันจะมาจากไหน แต่ถ้าต้นมันถูกไปเรื่อยๆ มันก็จะได้ผลของมันไป เห็นไหม แต่เราเข้าใจกันเอง เราเข้าใจกันด้วยความคิดของเราว่าเราต้องการทางลัด เราต้องการความสะดวกสบาย เราต้องการสิ่งที่เป็นผล แล้วเราก็จินตนาการไป ทั้งๆ ที่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

ในสมัยปัจจุบันนี้ ดูสิ ครูบาอาจารย์ที่ออกประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัตินะ สิ่งที่ว่าประพฤติปฏิบัติ ถ้าขึ้นต้นผิด ดูในการที่ว่าเขาทำเครื่องรางของขลัง เขาว่าเขามีชื่อเสียงนะ เขาว่าเขามีชื่อเสียง เขาทำอย่างนั้นเป็นประโยชน์กับศาสนา มีคนนับหน้าถือตา สิ่งนี้มันขึ้นต้นถูกหรือขึ้นต้นผิดล่ะ

สิ่งที่ขึ้นต้นถูก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ เรื่องความเป็นภายใน ทุกข์นี้ควรกำหนด ถ้าให้ขลัง มันต้องขลังที่ในหัวใจของเรา ในการประพฤติปฏิบัติ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง แม้แต่คฤหัสถ์ ถ้าเขามีศีล ๕ คนเรามีศีล ๕ เป็นคนดีนี่ใครจะทำร้าย ใครจะทำลายคนที่เป็นคนดี มันเป็นไปไม่ได้ เว้นไว้แต่มีกรรมต่อกันเท่านั้น สิ่งที่มีกรรมต่อกัน จะขนาดไหนเขาก็จองเวรจองกรรมกันมา นั่นเป็นเรื่องของกรรม

สิ่งที่เรื่องของกรรมมันก็มีการบาดหมางกันมา เพราะเรื่องของโลก เพราะการเกิดมานี้ บุพเพนิวาสานุสติญาณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสาวไปไม่มีที่สิ้นสุด คนเราเกิดมา เกิดตายมาตลอด มันมีความบาดหมางกันมา เพราะอะไร เพราะมันไม่เคยเห็นธรรมไง แต่ถ้าเรามาพบพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอน “เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร”

ในเมื่อเรามีธรรมในหัวใจ เราอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเกิดท่ามกลางพระพุทธศาสนา เราก็ประพฤติปฏิบัติของเรา สิ่งที่กระทบกระเทือนกัน เราก็ให้อภัยต่อกัน สิ่งนี้เราก็ปล่อยวางผ่านไปๆ ในเมื่อฝ่ายที่ว่าเป็นเวรกรรมต่อกัน เขาอาฆาตมาดร้าย นั่นมันก็เรื่องของเขา เพราะสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ เพราะมันเป็นหัวใจของเขา เราต้องดูย้อนกลับมาที่ใจของเรา

ถ้าย้อนกลับมาที่ใจของเรา เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ประเสริฐมาก ถ้ายังมีเวรมีกรรมต่อกันไป มันก็จะบาดหมางกันไป มันก็จะฝังไปในหัวใจ เราอโหสิกรรม เราระงับกรรมระงับเวรด้วยการเฝ้ามองกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราย้อนกลับเข้ามานี่ ถ้าผู้มีศีล ๕ เขาก็ยังรักษาตนของเขาได้ แต่นี้เราเป็นผู้ที่ปฏิญาณตนแล้วว่าเป็นภิกษุ แล้วเราบวชมาแล้วนี่ ขึ้นต้นผิดว่าเราจะต้องทำเครื่องรางของขลัง สิ่งนี้ทำให้มีชื่อเสียง สิ่งนี้ทำให้คนเขานับหน้าถือตา นี่ชีวิตนี้แม้แต่คฤหัสถ์เขาก็ทำได้นะ

ในปัจจุบันนี้มองสิ ในผู้ที่ว่าเขาสักยันต์กัน เขาทำเครื่องรางของขลัง แม้แต่คฤหัสถ์เขาก็ทำได้ แต่นี่เราเป็นภิกษุนะ เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกข์อยู่ ๖ ปีเพื่อค้นคว้าสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นธรรมนะ แล้วเราเป็นนักบวช เราเป็นภิกษุ แล้วเราเข้าทางผิด เพราะอะไร เพราะเราไม่มีครูอาจารย์ไง แต่ถ้าเรามีครูอาจารย์ล่ะ ครูอาจารย์จะชี้เข้ามาที่ไหนล่ะ ถ้าเริ่มต้นถูก มันจะมีผลเป็นความถูกไปตลอด มีผลเป็นความถูกไปในหัวใจนะ

สิ่งที่มีผลในความถูกในหัวใจ มันต้องย้อนกลับมาที่ใจของเรา ที่ใจเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมา เกิดมาจากใจทั้งหมด” สิ่งที่เกิดมาจากใจทั้งหมด เพราะใจเป็นคนคิด วัตถุสิ่งของ แม้แต่ทางวิทยาศาสตร์ สิ่งที่เจริญมาทางวิทยาศาสตร์นี่ใครเป็นผู้ค้นคว้าล่ะ? นักวิทยาศาสตร์เขาคิดค้นขึ้นมา บริษัทต่างๆ ที่เขาตั้งขึ้นมาเป็นบริษัท เขาวิจัยของเขามาเพื่อเป็นธุรกิจของเขาไง

จะใช้ปัญญาขนาดไหน จะวิจัยวิเคราะห์ขนาดไหน สิ่งนี้มันก็เป็นวัตถุ เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ เรื่องของโลก เรื่องของสิ่งที่เป็นประโยชน์ ประโยชน์กับทางโลกเขา แต่ในทางปฏิบัติล่ะ ในทางปฏิบัติ เห็นไหม เขาจะร่ำรวยขนาดไหน เขาจะมีสมบัติสมความปรารถนาขนาดไหนเขาก็ต้องทุกข์ ทุกข์นะ

นี่เราคิดกันเอง เราคาดกันเองว่าเขามีเครื่องอำนวยความสะดวกแล้วเขาจะมีความสุข ในทางยุโรปนะ ประเทศไหนก็แล้วแต่ รัฐสวัสดิการเขาดีมาก ขนาดคนเขาตกงานขนาดไหน รัฐบาลเลี้ยงเขา ทำไมเขาฆ่าตัวตายล่ะ เพราะอะไร เพราะมันมีความทุกข์ในหัวใจไง สถิติคนฆ่าตัวตายจะมากขึ้นเรื่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปเพราะคนมันมีเวลาว่างไง แต่ก่อนนั้นคนเรานี่นะ มนุษย์เราต้องทำมาหากิน มนุษย์เรา สิ่งที่แสวงหานี่เพราะเทคโนโลยีไม่เจริญขนาดนี้ เวลามันออกไปกับการงาน มันก็มีเครื่องระบายออกของทุกข์ไง

แต่ในปัจจุบันนี้สิ่งใดก็มี สิ่งใดก็มีนี่ มันยิ่งอัดอั้นตันใจนะ ถ้าอัดอั้นตันใจ ถึงที่สุดก็ทำลายตัวเอง เพราะเขาไม่มีศาสนา ถ้ามีศาสนานะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ในธรรมและวินัย เห็นไหม การทำลายตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ว่าบาปอย่างยิ่ง เพราะอะไร เพราะสิ่งที่ว่ามีคุณค่าที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นหัวใจในร่างกายเรา สิ่งที่มีชีวิตมีคุณค่าที่สุด แต่โลกมองแต่แก้วแหวนเงินทอง มองแต่สมบัติเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด

สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด แล้วเราทำลายสิ่งนี้ไง เราทำลายสิ่งนี้ ทำลายด้วยการทำลายตน ทำลายชีวิตไง ชีวิตจากภายนอก สิ่งที่ว่าเป็นอาหารปัจจัย ๔ ขณะที่ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นกระต่ายนะ กระโดดเข้ากองไฟให้นายพรานได้กินเนื้อ เพราะนายพรานเขาหลงป่ามา นี่สละอย่างนั้นมาตลอดนะ

สิ่งที่มันเป็นอาหารมันยังเป็นสิ่งที่ดำรงชีวิตนะ แต่สิ่งที่ในหัวใจของเรา มันเป็นความทุกข์ สิ่งที่เป็นความทุกข์จากภายในหัวใจมันเร่าร้อนจากภายในหัวใจ สิ่งที่เป็นความเร่าร้อนจากภายในหัวใจ จะเอาอะไรไปดับมันล่ะ จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหนมันก็ทุกข์ สิ่งที่เป็นความทุกข์ เพราะเราเริ่มต้นผิดไง เราเริ่มต้นผิดเพราะเราไปแสวงหาสิ่งนั้น

เพียงแต่ว่าเราเกิดมาถ้ามีบุญกุศลนะ ในสมัยพุทธกาล พระสีวลีเป็นพระอรหันต์ ลาภสักการะมหาศาลเลย แต่พระที่ไม่ได้สร้างสมมา เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่ก็ทุกข์ๆ ยากๆไป แล้วแต่สายบุญสายกรรมของการกระทำมานั้น สิ่งที่เรา ถ้าเราสร้างสมมา สิ่งที่สมบัติมา มาโดยธรรม ถ้ามาโดยธรรมนี่มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น แล้วถ้ามีสติมีปัญญาบริหารสิ่งนั้นไป บริหารคือการบริหารมัน เราเป็นเจ้าของมัน เราใช้มันเป็นประโยชน์นะ แต่ถ้ากิเลสตัณหานี่มันเป็นขี้ข้ามันไง ไปยึดติด แล้วสิ่งนั้นก็ไปให้โทษกับตัวเองไง ไปแบกหามนะ

สิ่งที่ว่าเขาวางอยู่ของเขา แก้วแหวนเงินทองเขาอยู่ของเขาโดยปกติ เขาไม่มีน้ำหนักของเขาหรอก เขาไม่รู้ว่าตัวเขาหนักหรือไม่หนัก แต่เพราะความยึดติดของเรา เราไปเป็นกังวลกับเขา มันเลยมาหนักที่หัวใจเราไง เพราะเราไปแบกหามเขาโดยที่เราไม่รู้สึกตัวเลยนี่ นี่เราโง่หรือเราฉลาด สิ่งนี้เพราะเราโง่ เราไปแบกหามเขา แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเข้ามาจากหัวใจนะ

สิ่งที่เกิดขึ้นมาเพราะมีเรา เพราะมีเราเราถึงมีทุกข์ มีเรานี่ ตัวเรานี่มันความทุกข์มาก เพราะตัวเรานี่มันอวิชชาปกคลุมไว้ มันถึงแสวงหาออกไปข้างนอก ไปยึดออกข้างนอก ห่วงแต่ว่าเราจะไม่ได้ดำรงชีวิต ห่วงแต่สถานะ หวงแต่ศักดิ์ศรี ศักดิ์ศรีดีงามเราไปห่วงข้างนอก แต่เราไม่เห็นศักดิ์ศรีดีงามของธรรมในหัวใจของเราเลย

ถ้าเราไม่เห็นความศักดิ์ศรีดีงามของธรรมในหัวใจของเรา เราจะให้กิเลสมันเหยียบ มีอำนาจในหัวใจของเรานะ มันจะกดขี่ใจดวงนี้ มันจะทำใจดวงนี้ให้ทุกข์ยากมาก แม้แต่ออกมาประพฤติปฏิบัติก็ยังคิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรมไง ทั้งๆ ที่กิเลสมันเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาแอบอ้างนะ มันอ้างธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าสิ่งนี้เป็นธรรมไง แล้วมันก็ยึดพื้นที่ แล้วมันก็ทำลาย ทำลายหัวใจดวงนั้นให้ดวงใจดวงนั้นอยู่ในใต้อำนาจของมัน แบกหามแต่ความทุกข์ แต่ว่าสิ่งนี้เป็นการประพฤติปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะเริ่มต้นผิด

ถ้าเริ่มต้นผิด ธรรมมันจะไม่มีผล ผลของอันนี้มันจะเป็นผลของการประพฤติปฏิบัติ มันเป็นผลจากภายนอก สิ่งนี้เป็นอามิส อามิสเกิดขึ้นจากความเชื่อความศรัทธา การประพฤติปฏิบัติ ถ้าบุญกุศลเราสร้างมาไม่ถึง ประพฤติปฏิบัตินี้มันก็ให้ภพชาติสั้นเข้า สั้นเข้าคือสร้างสมบารมีไง แต่ถ้ามีอำนาจวาสนา เพราะใจเราสร้างของเรามา มันจะมาฉุกคิด สติปัญญาจะดีกว่านะ ดูสิอย่างมนุษย์นี่ดีกว่าสัตว์ เพราะอะไร เพราะมนุษย์ทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์กันแล้วว่าสมองใหญ่กว่าสัตว์ มนุษย์เอาสัตว์มาใช้งาน มนุษย์คิดค้นขึ้นมา เอาสัตว์มาเลี้ยง มาเป็นอาหาร สิ่งนี้เป็นมนุษย์คิดทั้งหมดเลย เพราะมนุษย์มีสมองมากกว่าสัตว์ แต่สัตว์มันก็มีชีวิตนะ

ในพระไตรปิฎก มีควาย ถึงเวลาเขาต้องโดนฆ่า มาเข้าฝันของพระนะ ขอให้ได้ฉันเนื้อเถิด ขอให้ได้ฉันเนื้อเถิด เพราะเกิดมาเป็นสัตว์ ไม่มีสมบัติใดๆ ติดตัว ก็มีร่างกายนี่มันเป็นสมบัติของสัตว์ตัวนั้น ขอให้ร่างกายนี้ สิ่งที่เนื้อหนังนี้ให้กับผู้ที่มีศีลมีธรรมได้บริโภค เพื่อเขาจะได้บุญกุศล อยากทำบุญกุศล เพราะเกิดเป็นสัตว์มันทุกข์ยากไง นี่มีความคิดเหมือนกัน

ในศาสนาพุทธนี่ ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ให้ทำลายกัน แม้แต่สัตว์ที่มีชีวิตนะ ไม่ให้ทำลายเขา แต่ขณะที่ว่าเราคิดของเราโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากแบกโลก คิดว่าสิ่งนั้นเป็นอาหาร สิ่งนั้นทำมาเพื่อเรา...สิ่งนั้นเป็นอาหารก็จริงอยู่ ในเมื่อกรรมมันให้ผลไง เกิดเป็นสัตว์เกิดเป็นอะไร สัตว์ดีก็มี สัตว์ที่มีความคิดดีเขาก็มีความสุขความทุกข์ของเขา เพราะมันเป็นวาสนาของเขา ภพชาติของเขา สิ่งนี้เป็นเพราะอำนาจกรรมของเขา ขณะที่กรรมมันให้ผลอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้น เพราะจิตนี้มันเวียนตายเวียนเกิดนะ

สิ่งที่เวียนตายเวียนเกิด นี่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศอยู่ตลอดเวลา แต่การประพฤติปฏิบัติของเราจะเป็นจริงอย่างนั้นไหม ถ้าเป็นจริงอย่างนั้น มันจะมีความเมตตาสงสารออกมาจากหัวใจ ถ้าใจนี้เป็นธรรม สรรพสิ่งนี้จะเป็นธรรมทั้งหมด จะเข้าใจความเป็นจริงว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ถ้าเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ

แต่ถ้าสิ่งที่เป็นกิเลส มันก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นผลประโยชน์ ว่าสิ่งนี้ เราเป็นมนุษย์เราเป็นผู้ที่มีปัญญามากกว่าเขา เรามีอำนาจมากกว่าเขา นี่มันทำลายกันไปหมดเลย สิ่งที่ทำลายหมด มนุษย์นี่ทำลายได้มากที่สุดเลย เพราะมนุษย์นี้มีปัญญา ในโลกนี้เขามีปัญญากัน เขาแข่งขันกันด้วยทางปัญญา ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาการเอาไฟสุมใส่ตัวไง จะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน มันก็เอาแต่ความทุกข์มาให้

แต่ถ้าเรามีปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้ามีปัญญาโดยธรรม ธรรมนี้ใช้ปัญญา พอใช้ปัญญานี้ให้ใคร่ครวญเข้ามาจากภายในไง ให้ใคร่ครวญเข้ามาถึงชีวิต ให้ใคร่ครวญเข้ามาถึงความเป็นอยู่ ความเป็นอยู่ของเรานี่ โลกเขาว่าความเป็นอยู่อย่างนั้น ปัจจัยเครื่องอาศัย ต้องอาศัยปรนเปรอกันให้มันมีความมั่งมีศรีสุข จะสร้างบ้านสร้างเรือนกันใหญ่โตมหาศาลเพื่อแข่งศักดิ์ศรีดีงามไง

เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ ไปในเรือนว่าง ไปในสิ่งที่ว่าพออาศัย ให้ได้พักผ่อน พักผ่อน เห็นไหม กินน้อยนอนน้อยเพื่ออะไร? เพื่อจะต้องการสงวนเวลาในการประพฤติปฏิบัติ กินน้อยนอนน้อยเพื่อจะไม่ให้กิเลสตัณหามันมีกำลังมาก ให้กดขี่หัวใจ เห็นไหม เราเริ่มต้นตั้งแต่ถือศีล ๘ เราก็ไม่กินข้าวเย็นกันแล้ว แล้วพระออกประพฤติปฏิบัติ ออกบวช ฉันอาหารมื้อเดียวโดยปกตินะ ฉันอาหารมื้อเดียว ถ้าไม่ระวัง อาหารมื้อเดียวนั้นก็ยังให้ผลมาก เพราะความเคยชินไง ถ้าความเคยชิน เราฉันอาหารมื้อเดียวนี่เราอยู่ได้โดยสบายเลย โดยปกติธรรมชาติเลย เพราะเราฝึกฝนมาอย่าง การฝึกมันมีความชำนาญอย่างนั้น

เพราะพระ ธุดงควัตรให้ฉันมื้อเดียว เพราะอะไร เพราะมันไม่มีความกังวล มันไม่ต้องไปแบกรับภาระสิ่งต่างๆ การใช้ การจ่าย การกิน การอยู่ นี่มันต้องเก็บต้องรักษา สิ่งนี้เป็นภาระรุงรังมากนะ

ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปะรำปะระ ฉันพร่ำเพรื่อ ฉันแล้วฉันเล่า สิ่งนี้เก็บรักษา ต้องล้างต้องทำความสะอาด นี่มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก แล้วทางโลกเขาก็เอามาอวดอ้างกันนะว่าสิ่งนั้นต้องประณีตอย่างนี้ สิ่งนี้เป็นคุณสมบัติอย่างนั้น สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ แต่เวลาพระเราออกประพฤติปฏิบัติในป่าในเขานะ เราไปบิณฑบาตกับชาวป่าชาวเขา เขาซื่อๆ ของเขาตามปกติของเขานะ เขามีสิ่งใด เขาก็ดำรงชีวิตของเขาอย่างนั้น เห็นไหม นี่ความสะอาดกับความบริสุทธิ์ ค่าของน้ำใจกับค่าของสิ่งของมันต่างกัน

แต่เราไปให้ค่าของสิ่งของเพราะอะไร เพราะมันเป็นทุนนิยมไง สิ่งที่เป็นทุนนิยม เอาสิ่งนี้มาวัดคุณค่ากันไง สิ่งที่เป็นคุณค่าทางทุนนิยม เขาวัดว่าอะไรสิ่งใดมีคุณค่า สมมุติกันขึ้นมานะ สิ่งที่สมมุติแล้วสิ่งนี้มันมีน้อยอยู่เราก็แสวงหากันไง พอสิ่งที่แสวงหากันก็เอาสิ่งนี้มากดขี่กันนะ ทั้งๆ ที่มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่เราไปสร้างคุณค่ามันขึ้นมาแล้วมากดขี่เรา แล้วว่ามนุษย์ฉลาดกว่าสัตว์นะ สัตว์มันอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน แม้แต่คนป่าคนเขา เขาก็อยู่ธรรมชาติของเขา แต่ในเมื่อสิ่งที่ว่าเป็นความเจริญรุ่งเรือง ความเจริญว่าเจริญกันไปนี่ ไปทำลายเขาทั้งนั้นเลย

แล้วเวลาพระเราออกประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม นี่สัปปายะ สิ่งที่สัปปายะคือหาที่มันควรแก่การงานไง ออกป่าออกเขาด้วยความซื่อด้วยความบริสุทธิ์ของเขา เขามีสิ่งใดเขาก็ถวายพระอย่างนั้น นี่บุญกุศลเกิดตรงนี้ไง ปฏิคาหก ผู้ให้ให้ด้วยความบริสุทธิ์ ขณะให้ก็ไม่ปรารถนาสิ่งใด ให้แล้วก็แล้วกัน เพราะพระธุดงค์อยู่กับเขา ๕ วัน ๑๐ วันแล้วก็เคลื่อนที่ไป เคลื่อนที่ไป เคลื่อนที่ไปไม่ให้ชินชากับสถานที่ไง ถ้าชินชามันก็หน้าด้าน มันหน้าด้านเพราะอะไร เพราะกิเลสมันมืดบอดไง กิเลสมันฉลาด แต่หัวใจมันมืดบอด เพราะกิเลสมันคุ้มครอง มันเหยียบย่ำหัวใจ มันหน้าด้านเพราะมันต้องการแต่ความสะดวกไง

แม้แต่ไปอยู่ป่าอยู่เขามันก็ต้องไปแสวงหากับเขา อยากจะอำนวยความสะดวก ให้เขาอำนวยความสะดวกเรา ขนาดไหน ถึงความเป็นไปก็ต้องการอย่างนั้นๆ ตลอดไปไง นี่มันชินชาหน้าด้านนะ แม้แต่เขาไม่มี มันก็ไปเรียกร้องเอากับเขาสภาวะแบบนั้น แล้วเราไปทำไม? เราไปเพื่อการจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราไปเพื่อแก้ไขกิเลสของเรา สิ่งที่แก้ไขกิเลส เราเป็นผู้ต้องการใช่ไหม ผู้เรียกร้องสิ่งนั้นใช่ไหม เรียกร้องคือว่าต้องการจะชำระกิเลส เพราะเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดมันแค่อาศัยไป ขณะที่ไป ขณะที่ออกประพฤติปฏิบัติ ไปอยู่กับเขา มองไปสิ เขาซื่อ เขาใส เขาบริสุทธิ์ของเขา แล้วเราไปของเรา เราออกไป เพราะอะไร เพราะเราไปจากสังคมที่เราเคยเห็นสิ่งใดมาไง ชาวป่าชาวเขาเขาอยู่ของเขาสภาวะแบบนั้น จะว่าเขาทุกข์เขายากก็มนุษย์เหมือนกัน มันมีความสุขความทุกข์เหมือนกันแหละ ถ้าเขาซื่อเขาบริสุทธิ์ของเขา เราสอนเขา ถ้าเขามีธรรมในหัวใจ เห็นไหม นี่ขึ้นต้นถูกไง ถ้ามีครูมีอาจารย์ขึ้นต้นถูก เขาก็ปฏิบัติของเขาได้ เพราะเขาซื่อใสกว่าเรา เขาไม่มีสิ่งใด ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมในหัวใจมากกว่าเรา

เรานี่มีเล่ห์เหลี่ยมมาก เพราะเราว่าเรามีปัญญามากไง สิ่งที่มีปัญญามาก เห็นไหม เราเข้าใจเอง เราเข้าใจว่าเรามีปัญญามาก แล้วเราเข้าใจว่าเราสามารถจะแก้ไขได้ สิ่งที่มีปัญญามาก ปัญญาของกิเลสพาใช้นะ ถ้าการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นเราต้องหยุดสิ่งนี้ให้ได้ก่อน ถ้าเราหยุดสิ่งนี้ไม่ได้ ดูในการก่อสร้างนะ ในทางด่วนที่เขาก่อสร้างกัน ผู้ที่เป็นผู้จ้างวานเขาส่งพื้นที่ให้เขาสร้างไม่ได้ เขาก็สร้างสิ่งนั้นไม่ได้เหมือนกัน

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติ มันมีสิ่งปลูกสร้าง มันมีเจ้าของคือกิเลส กิเลสมันเกิดมาจากใจนะ กิเลสอาศัยใจอยู่ แล้วมันตู่ ตู่ยึดว่าใจนี้เป็นของมัน ตู่ยึดว่าใจนี้เป็นของมัน มันก็อยู่ในหัวใจของสัตว์โลก อยู่ในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในหัวใจของพระของเณรไง เพราะคนเกิดมานี่มันมีกิเลส ทีนี้กิเลสมันอยู่ในหัวใจมันก็ตู่ว่าใจเป็นของมัน แล้วในการประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจเข้ามา สิ่งนี้กิเลสมันยึดพื้นที่อยู่ แล้วเราไม่สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับบริษัทรับเหมาเขาสร้างทางด่วน สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์กับสาธารณะไง

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรา การประพฤติปฏิบัติเราไม่ทำความสงบของใจ ใจมันฟุ้งซ่าน มันยึดพื้นที่ของมันอยู่ในหัวใจ แล้วเราว่าสิ่งนี้เป็นธรรม สิ่งนี้เป็นธรรม เห็นไหม กิเลสมันย่ำยี กิเลสมันเหยียบย่ำอยู่ในหัวใจ ยังไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้เป็นกิเลสเหยียบหัวใจของเรานะ ยังทะนงตนนะว่าเรานี้มีปัญญามาก เราเป็นคนเก่ง เรามีความรับรู้ เราเข้าใจสิ่งต่างๆ เราเข้าใจเรื่องของโลก โลกนี้ขาดแต่การจัดการ การบริหารจัดการ ถ้าเราได้บริหารจัดการ จะสามารถควบคุมสิ่งนี้ได้ นี่มันยึดพื้นที่ในหัวใจนะ แล้วธรรมยังไม่สามารถสถิตได้เลย

ถ้าธรรมสามารถสถิตเข้าไปในหัวใจของเราได้นะ ในการศึกษาเล่าเรียนแผนที่ในปัจจุบันนะ มันเป็นปริยัติ สิ่งที่เป็นปริยัติคือศึกษาสุตมยปัญญา ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือกางแผนที่กัน กางแผนที่กับการก่อสร้างไง จะสร้างทางด่วน จะสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ นี่กางแผนที่กัน สิ่งที่กางแผนที่กันมาแล้วก็ตีความกันไง สิ่งที่ตีความระหว่างธรรม ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าจะสถิตได้ต้องมีพื้นที่ ต้องมีจุดยืนขึ้นมา แต่เราก็เข้าใจว่า กิเลสมันก็บอกว่าสิ่งนี้มันเป็นเจ้าของอยู่ สิ่งนี้เป็นพื้นที่แล้ว เห็นไหม ต่างคนต่างโต้เถียงกันในหัวใจนะ เพราะอะไร เพราะเราไม่มีครูอาจารย์ชี้นำ

ถ้าเรามีครูอาจารย์ชี้นำนะ เหมือนกับหลวงปู่มั่นบอกกับครูบาอาจารย์ที่เข้าไปศึกษา ปริยัติต้องวางไว้ก่อน ปริยัติต้องวางไว้ก่อน เพราะเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เราจะมีพื้นที่ทำงาน ถ้าเราไม่ทำความสงบของใจเข้ามา มันเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เหมือนกับเราเรียนสุตมยปัญญา เถียงกันนะ ทำงาน ว่าทำงาน แต่ทำงานในพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัยนี้เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเทศนาว่าการออกมาเป็นกิริยาของธรรม สิ่งที่เป็นกิริยาของธรรม เราศึกษาสิ่งนี้ขึ้นมา นี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วเราศึกษา นี้คือพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก แล้วพื้นที่ของเราล่ะ แล้วธรรมของเราล่ะอยู่ที่ไหน? ธรรมของเรายังไม่ได้เกิดเลย

ในเมื่อมีปริยัติ สิ่งที่ปริยัติถึงต้องมีปฏิบัติ ถึงจะมีปฏิเวธ ถ้าเราไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปริยัติ แล้วเราว่าเราศึกษาปริยัติแล้วจะให้เป็นปฏิเวธ ในการกระทำของเรามันไม่มี ถ้าในการกระทำของเรามันยังไม่เกิดขึ้นมา ภาคปฏิบัติของเรายังไม่เกิดขึ้นมา มันจะเป็นปฏิเวธได้อย่างไร

แต่ในเมื่อเราเข้าใจแล้วเราศึกษามา แล้วเราก็ใช้จินตนาการ จินตมยปัญญาใคร่ครวญว่านี่เราประพฤติปฏิบัติ นี่เราไปกล่าวตู่ธรรมนะ มันไปทำงานในดินแดนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปทำในพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในธรรมวินัยไง มันไม่ได้ทำในพื้นที่ของเรา ถ้ามันไม่ได้ทำในพื้นที่ของเรา มันจะเป็นผลประโยชน์ขึ้นมาได้อย่างไร มันก็เกิดความลังเลสงสัย มันจะสงสัยไปตลอดนะ

ขนาดที่ว่าเราศึกษาธรรม สุตมยปัญญา อ่านหนังสือ อ่านพระไตรปิฎก อ่านชีวประวัติของครูบาอาจารย์ มันจะมีความซึ้งใจ มันจะมีความสุข มันจะมีความเวิ้งว้าง มันจะมีความปล่อยวาง เพราะอะไร เพราะอาการของใจ ในเมื่อใจมันเป็นสภาวะแบบนั้น เห็นไหม ดูสิ ดูอย่างที่ว่าภิกษุที่เขาทำเครื่องรางของขลัง แม้แต่ว่าขณะเขาทำเครื่องรางของขลัง แล้วเขาจำหน่ายจ่ายแจกออกไปได้มาก แล้วคนยกยอปอปั้นเขา เขาก็มีความสุขนะ เขาว่านี่เขามีคนนับหน้าถือตา เขามีความสุขของเขา นี่ขึ้นต้นผิด ผิดโดยกิเลสพาใช้ไง ผิดโดยจารีตประเพณีของภิกษุที่ทำเครื่องรางของขลังอย่างนั้นออกไป เขาก็มีความสุขของเขา อย่างนั้นเป็นธรรมไหม นี่ขึ้นต้นผิดมันผิดไปสภาวะแบบนั้นนะ

นี่ก็เหมือนกัน ในการที่เราศึกษาเล่าเรียน เราประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราอ่าน เราศึกษา มันก็มีความว่าง มันก็มีความสุข มีความปล่อยวาง ความปล่อยวางอย่างนี้คือความปล่อยวาง

ดูสิ ดูขณะที่เราทุกข์ ดูขณะที่เรามีความทุกข์ในหัวใจ สิ่งที่เกาะเกี่ยวในหัวใจ เวลาเราไปเข้าใจ เราเข้าใจผิดสิ่งใดแล้วเรามีความทุกข์ในหัวใจมาก พอเราใช้ปัญญาใคร่ครวญปลดเปลื้องความเข้าใจผิดอย่างนั้นมันก็ปล่อยออกมา มันก็ว่างเหมือนกัน สิ่งที่เป็นความว่างอย่างนี้มันปล่อยวาง นี่มันปลดทุกข์ได้ไง ปลดความเกาะเกี่ยวของใจที่มันไปเกาะเกี่ยวสิ่งต่างๆ ที่มันไปติดพันกับสิ่งนั้นเป็นความฝังใจ ถ้าเราไปปลดเปลื้องสิ่งนั้นออก มันก็มาปล่อยวาง

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ่านชีวประวัติของครูบาอาจารย์ของเรา มันก็มีความสุขของมัน นี่มันปล่อยวางอย่างนี้ สิ่งที่ปล่อยวางอย่างนี้ มันเป็นความเห็น เพราะเราศึกษามามันไม่เกิดการปฏิบัติ มันยังไม่มีกิจกรรม มันไม่มีพื้นที่ทำงานเลย ถ้าเราจะมีพื้นที่ทำงาน เราถึงต้องมีสติ เราถึงต้องมีความกำหนดบริกรรม ถ้ามีกำหนดบริกรรม จิตนี้เป็นนามธรรม จิตนี้เป็นนามธรรมที่ส่งออกไป แต่ถ้ามีสตินะ มันจะมีจุดยืน สิ่งที่จุดยืน จุดยืน คือความสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลา จะระลึกอยู่ที่ปลายจมูกก็ได้ กลางทรวงอกก็ได้ จะกำหนดพุทโธที่หัวใจก็ได้ สิ่งใดกำหนดพุทโธ นี่มันจะเป็นพื้นที่ของใจไง

เริ่มต้นให้ถูก “ศีล สมาธิ ปัญญา” ถ้าไม่มีศีล สมาธิ ปัญญานะ มันไม่เป็นมรรคหรอก มรรคนี่เริ่มต้นจากศีลเลย การดำรงชีวิตชอบ งานชอบ เพียรชอบ ศีล สมาธิ ปัญญา มันถึงจะเป็นมรรคญาณ ถ้าไม่มีศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันไปทำงาน ไปศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ธรรมมันจะให้ผลนะ

ธรรมหรือเครื่องรางของขลังมันก็ให้ผลเป็นเครื่องรางของขลังกับใจดวงนั้น ติดพันไปกับอย่างนั้น ยังต้องเกิดต้องตาย เพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ถึงการเกิดและการตายนะ ถ้ายังมีการเกิดและการตาย วัฏวนหมุนเวียนไป สิ่งที่หมุนเวียนไปนะ เกิดในขณะที่พบพระพุทธศาสนา เกิดพบพระพุทธศาสนาแล้วเจอครูบาอาจารย์ชี้นำหรือเปล่า ถ้าเกิดเจอครูบาอาจารย์ชี้นำ นี่เป็นผู้ที่เริ่มต้น จะเริ่มต้นตรงนี้ให้มั่นคงให้ได้ ถ้าเริ่มต้นตรงนี้ เริ่มต้นผิด ความคิดมาจากต้น ปลายก็ผิด เริ่มต้นผิดตรงไหนมันจะผิดตลอดไป ถ้าเริ่มต้นถูก มีครูมีอาจารย์ชี้นำ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำ เราก็พยายามค้นคว้าของเรา มันก็ต้องเป็นการเสี่ยง เสี่ยงทายจากอำนาจวาสนานะ

ในสมัยพุทธกาลนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไปศึกษาปริยัติกับใคร? ท่านไม่ได้ไปศึกษาปริยัติกับใครเลย ท่านประพฤติปฏิบัติลองผิดลองถูกไป เพราะธรรมยังไม่เกิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้โคนต้นโพธิ์นี่ การประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิใช้ปัญญาจากอาสวักขยญาณทำลายจากภายใน พอสำเร็จแล้วไปสอนปัญจวัคคีย์ ปริยัติมีหรือยัง ธรรมวินัยเกิดขึ้นหรือยัง? เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ธรรมวินัยยังไม่มี ไม่มีนี่ แต่การสอนโดยภาคปฏิบัติ คือการเทศนาว่าการ นี่เริ่มต้นที่ถูกเพราะปัญจวัคคีย์ได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่นี่ ได้ทำความสงบของใจอยู่แล้ว เวลาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นไป พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นพระโสดาบันขึ้นมาเลย เห็นไหม นี่ในภาคปฏิบัติ

เวลาไปเทศน์สอนยสะ มีปริยัติหรือยัง ยสะไปเรียนปริยัติมากับใคร เห็นไหม ออกจากปราสาทมา “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่เดือดร้อนหนอ” แล้วไปศึกษาปริยัติกับใคร ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันยังไม่ได้ทำพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ที่นี่ไม่เดือนร้อน ยสะมานี่ ที่นี่ไม่เดือดร้อน ที่นี่ไม่วุ่นวาย” ที่นี่ที่ไหนล่ะ? ที่นี่ เห็นไหม ที่นี่ก็วุ่นวาย วุ่นวายมาจากไหน? วุ่นวายออกมาจากจิตของยสะเอง วุ่นวายเพราะไปเกาะเกี่ยว แต่ขณะที่ไม่มีคนชี้นำ มันก็ส่งออก แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนกลับ เวลาไปสอนชฏิล ๓ พี่น้องนี่เหมือนกัน “ตาเป็นของร้อน หูเป็นของร้อน สิ่งใดเป็นของร้อน” เพราะชฏิล ๓ พี่น้องเขาบูชาไฟ สิ่งที่บูชาไฟ เห็นไหม เทศน์ออกมา ปริยัติเกิดที่ไหนล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในภาคปฏิบัตินะ ปริยัติคือการศึกษามา ปริยัติต้องศึกษามานี่เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าไปกล่าวตู่ว่าเป็นพื้นที่ของเรา ถ้ากล่าวตู่ว่าพื้นที่ของเรานี่มันเป็นการทับซ้อนนะ ทับซ้อนคือหมกกิเลสไว้ไง ถ้าเราไม่ทำสมาธิ สัมมาสมาธิขึ้นมานี่ ให้จิตมันปล่อยวาง ต้องหาพื้นที่ทำงานให้ได้ ถ้าในเมื่อยังหาพื้นที่ทำงานไม่ได้ สิ่งที่เราหาพื้นที่ทำงานไม่ได้ แล้วเราก็เข้าใจ เข้าใจตามความเห็นไง

ถ้าเข้าใจตามความเห็น เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาว่าใช้ปัญญา แล้วใช้สิ่งต่างๆ ใช้ใคร่ครวญไป ถ้าทำความสงบนี่มันเป็นการเนิ่นช้า...นี่เริ่มต้นก็ผิด แล้วจะไปเอาผลมาจากไหน ในเมื่อเริ่มต้นผิด มันเป็นโลกียปัญญา สิ่งที่เป็นโลกียปัญญาถ้ามีสติมันจะเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นปัญญาอบรมสมาธิถ้ามีสติ ถ้าไม่มีสติมันก็เป็นการฟุ้งซ่านออกไป

ความฟุ้งซ่านให้กิเลสมันหลอก กิเลสมันจะหลอกว่าสิ่งนี้เป็นปัญญา สิ่งนี้เป็นปัญญา ปัญญาใคร่ครวญ ใคร่ครวญกิเลสแล้ว เพราะถ้าเข้าใจว่าเป็นวิปัสสนา มันจะสร้างผลไง สร้างผลเพราะอะไร เพราะว่าปัจจุบันนี้เรามีครูมีอาจารย์ เวลาครูบาอาจารย์ของเราส่งต่อๆ กันมา เวลาหลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่เสาร์นะ มันไม่มีครูอาจารย์ไง สิ่งที่เขาศึกษาเขาเล่าเรียนกันมาขนาดไหน มันก็เป็นการศึกษามา เป็นการจินตนาการกันไป หลวงปู่มั่นท่านไปค้นคว้าหานะ หลวงปู่เสาร์นี่พยายามค้นคว้าออกธุดงค์ ไปด้วยกัน ๒ องค์นะ หลวงปู่เสาร์พาหลวงปู่มั่นออกมาบวช แล้วหลวงปู่เสาร์ก็พาหลวงปู่มั่นออกวิเวกไปในป่าในเขา ค้นคว้ากันอยู่ในป่าในเขาไง มันไม่มีชีวประวัติของครูบาอาจารย์ให้เราจินตนาการได้

แต่ในเมื่อหลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าของท่าน เพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน ท่านถึงมีปัญญา ท่านถึงค้นคว้าได้ง่ายไง แต่อย่างถ้าพวกเราสาวกสาวกะนี่ การค้นคว้านี่แสนยาก แล้วยิ่งไม่มีสายบุญสายกรรมการสร้างบุญญาธิการมาอย่างนี้ มันยิ่งไม่มีการชักนำ การชักนำคือการสติยับยั้งความคิดไง ยับยั้งความคิดที่ส่งออกให้สงบมาจากภายใน

ความศักดิ์ศรีดีงามจากภายนอก ศักดิ์ศรีดีงามจากสังคมนี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด ความศักดิ์ศรีดีงามในการยกยอปอปั้นในการสรรเสริญนี่มันเป็นเรื่องของโลก ถ้าเรื่องของโลกนี่มันจะส่งเสริมให้กิเลสพองตัว ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติ เราจะศึกษาของเรา จะค้นคว้าของเรา เราจะเสงี่ยมเจียมตน เราจะหาที่สงัด เราจะหาที่วิเวก เราจะเข้าป่าเข้าเขา เราจะไม่เข้าคลุกคลีกับคน การคลุกคลีกับคนนี่มันมีแต่การตอบสนอง มีแต่การแสวงหา มีแต่การสนทนา มันจะทำให้จิตนี้ส่งออก

หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านถึงออกค้นคว้าสภาวะแบบนั้น เพราะมันไม่มีสิ่งที่ว่าจะไปสนทนาไปฟังเทศน์จากใคร เพราะสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นมาก็ใช้กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม พื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมพื้นที่ซับซ้อน ซับซ้อนพื้นที่ ไม่ใช้พื้นที่ของเรา เราไปสร้างบ้านสร้างเรือนโดยในที่ดินของคนอื่น แล้วสร้างบ้านเรือนมันจะเป็นของเราไหม? นี่เราเข้าใจผิดว่าที่ดินนี้แปลงนี้เป็นที่ของเรา เราก็ไปสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างตึกซะใหญ่โตเลย ถึงเวลาแล้วเขาเอาโฉนดของเขามากาง แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ เราจะไปฟ้องร้องเอากับใคร? เราไปฟ้องร้องกับใครไม่ได้หรอก เพราะเราไปสร้างให้เขาเอง เพราะเราไม่เข้าใจเอง

นี่ก็เหมือนกัน พระไตรปิฎกนี้เป็นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ไปค้นคว้า หลวงปู่มั่นไปคุยกับใครมันก็จะเป็นสภาวะแบบนี้ คุยแต่เรื่องของคนอื่น คุยแต่เรื่องพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันไม่ย้อนกลับมา ทวนกระแสกลับมาปัญญาจากภายใจ แต่เพราะองค์หลวงปู่มั่นท่านสร้างปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งนี้เวลาท่านลานะ ถ้าไม่ลาพระโพธิสัตว์ อำนาจวาสนาสิ่งนี้มันก็ปิดกั้นเหมือนกัน

การปิดกั้นคือว่า พระโพธิสัตว์ก็ต้องสร้างสมบุญญาธิการต่อไป บวชในศาสนาก็สร้างบุญญาธิการ ให้สละทานพาญาติโยมทำบุญกุศล สิ่งนี้สร้างสมอีกชาติหนึ่งๆ ไป แต่ถ้าสละลา ย้อนกลับ เห็นไหม สิ่งที่พาเขาสร้างบุญสร้างกุศลสิ่งนั้นมันเป็นเรื่องการเนิ่นช้า สิ่งที่เป็นการเนิ่นช้าเพราะอะไร เพราะเราจะต้องสร้างสมออกไป สร้างสมบุญญาธิการคือสิ่งที่ว่าเป็นพลังงาน เป็นพลังงานที่เราต้องสะสม

แต่ถ้าปัญญาจากอริยสัจ มันจะเป็นปัญญาจากภายใน สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติขนาดไหน มันก็ส่งออก แต่พอลาโพธิสัตว์ ย้อนกลับ พอย้อนกลับขึ้นมานี่ พลังงานจากภายในมันเกิด พลังงานจากพื้นที่ในหัวใจของหลวงปู่มั่นเกิดไง สิ่งที่หลวงปู่มั่นเกิด จิตสงบมันก็มีนิมิตที่จะเกิดขึ้นมันก็เป็นนิมิตจากกาย เห็นไหม มันจะเห็นกาย เห็นจิตโดยสัจจะความจริง

แต่เดิมพระโพธิสัตว์เวลาจิตสงบขึ้นมา พุทธภูมิเวลาจิตสงบ ฌานโลกีย์เกิดขึ้นมาจะเห็นนะ เห็นสภาวะสัตว์เกิดที่นั่น คนนั้นมีทุกข์ขนาดนี้ กรรมสภาวะแบบนั้น นี่มันจะไปแก้ไข จะไปส่งเสริมสิ่งนั้น มันเป็นการสร้างสมบุญญาธิการของพระโพธิสัตว์ต่อไปไง แต่ขณะที่ว่าจิตมันสงบอย่างนั้น มันลาสิ่งนี้แล้ว สิ่งนี้เป็นการสร้างสมมา เป็นพลังงานที่เราเคยช่วยเหลือกันมา เวลาจิตสงบขึ้นมานี่มันก็จะส่งออกไปรับรู้สิ่งนี้ แล้วก็จะออกไปเป็นพื้นที่ภายนอกอีกเหมือนกัน

สิ่งที่พื้นที่ภายนอก เพราะต้องการสร้างสมบุญญาธิการไป แต่เวลาลาสิ่งนี้แล้ว ลาคือตัดจริตนิสัย คือการเกี่ยวพัน สิ่งที่การเกี่ยวพันนี่ นิวรณธรรม สิ่งที่เป็นจริตนิสัยที่การเกี่ยวพันที่การสัมพันธ์กัน พอลาสิ่งนี้ปั๊บ พอจิตสงบเข้ามาย้อนกลับ ทวนกระแสเข้ามา พลังงานภายใน นี่พลังงานในอริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สิ่งที่เกิด ย้อนกลับมาจากภายในนี้ ถ้าย้อนกลับจากภายในนี้มันจะเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม...เห็นกาย เวทนา จิต ธรรม โดยตาของใจ ตาของใจเพราะใจนี้เป็นสิ่งที่ว่าไม่เคยดับ ไม่เคยสูญหาย แต่เพราะกิเลสมันกล่าวตู่แล้วมันยึดครองอยู่ สิ่งที่กิเลสตัณหาที่มันยึดครองอยู่สิ่งนี้ มันก็เอาสิ่งนี้ยึดพื้นที่สิ่งนี้ แล้วบิดเบือนความคิดออกไปโดยความบิดเบือนของมัน

แต่เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามาให้กิเลสมันสงบตัวลง แล้วย้อนกลับเข้ามา นี่เริ่มต้นถูก ถ้าเริ่มต้นถูก ผลมันก็จะมาไง ถ้าเริ่มต้นผิด ผลมันจะมาจากไหน นี่หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้เอง ถ้าเริ่มต้นผิดมันก็จะผิดไปตลอด ถ้าเริ่มต้นถูกมันจะถูกเข้ามาตลอด ถ้าจิตมันสงบเข้ามาจากภายใน ปัญญาอย่างนี้ พื้นที่ในหัวใจสิ่งนี้เกิดขึ้น

ในเมื่อพื้นที่ของหลวงปู่มั่นเปิดออกลาโพธิสัตว์ ลาสิ่งต่างๆ ที่ส่งออกไปสร้างสมบุญญาธิการ สิ่งที่โลกเขาเป็นไป เห็นไหม ภิกษุในปัจจุบันนี้ เขาขนาดว่าทำเครื่องรางของขลังเพื่อจะสร้างสมบุญญาธิการ เขามีชื่อเสียง เขามีจินตนาการ เขามีความทะนงองอาจ นี่เขาไพล่ออกไปจากศาสนาพุทธ ทั้งๆ ที่เป็นภิกษุเขายังไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะเขาเป็นภิกษุในศากยบุตร เกิดในท่ามกลางศาสนาพุทธ เกิดในท่ามกลางที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นคว้าธรรมขึ้นมาเพื่อเป็นประโยชน์กับอนุชนรุ่นหลัง กับการให้สัตว์โลกได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อจะเอาใจของตัวพ้นออกจากกิเลส เขายังทะนงตน เขายังเข้าใจของเขาสภาวะแบบนั้นนะ นี่เขาทะนงตนเป็นของเขา

แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านไม่เป็นอย่างนั้น เพราะหลวงปู่มั่นท่านสร้างสมมามากกว่า เพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วท่านลาสิ่งนี้แล้วย้อนกลับขึ้นมานี่ นี่เริ่มต้นจะถูก ถูกมาจากตรงพื้นที่ ถูกตรงเริ่มจากมีความสงบของใจเข้ามา

แล้วใครจะรู้ล่ะว่าจิตเราปรารถนาโพธิสัตว์ ไม่ปรารถนาโพธิสัตว์ล่ะ

หลวงปู่มั่น ท่านทำความสงบของใจเข้ามา เวลาจิตสงบเข้ามานี่ สิ่งที่มันสงบเข้ามานี่มันออกนิมิต มันมีความเห็นไง สิ่งที่มีความเห็นแล้วก็ใคร่ครวญ ใคร่ครวญค้นคว้าในพระไตรปิฎก สิ่งที่พระไตรปิฎก ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเราเป็นสาวกสาวกะไง ปัญญาญาณ ปัญญาความฉุกคิด ปัญญาความใคร่ครวญ ปัญญาในความละเอียดรอบครอบของใจนี่มันอ้อนด้อย ขณะที่อ่อนด้อยขนาดไหน สิ่งที่มันเกิดเป็นภาระจากภายในหัวใจ

เวลาออกธุดงค์กับหลวงปู่เสาร์ไป ๒ องค์ อยู่ในป่าในเขา พยายามทำความสงบของใจ เวลาความสงบของใจเข้ามาขนาดไหน เวลาจิตมันสงบแล้วออกเกิดนิมิตเพราะอะไร เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา จะไปรับรู้สิ่งนั้น สิ่งนี้ก็เก็บไว้ในหัวใจ นี่ถูกไหม ออกไปเห็นสภาวะเห็นสัตว์โลก เห็นความเป็นของสัตว์โลก เห็นความเป็นไปของสถานที่ต่างๆ นี้ถูกไหม แล้วกลับมา ธุดงค์ออกไปเพื่อจะหาที่สงัดที่วิเวกเพื่อจะอบรมบ่มนิสัย บ่มใจดวงนี้ พอบ่มนิสัยใจดวงนี้ สิ่งนี้เป็นความสัมผัสของใจ ใจสัมผัสสภาวะแบบนี้ แล้วมันก็ซับสมไว้ที่ใจ เพราะความรู้สึกของเรา เห็นไหม เสร็จแล้วกลับวัดเปิดพระไตรปิฎก สิ่งนี้ถูกต้องไหม ถูกต้องไหม ลงมาวัดสระประทุม มาค้นคว้ากับนักปราชญ์ มาหากับเจ้าคุณอุบาลีฯ นี่ศึกษาสิ่งนี้ ศึกษาว่าสิ่งนี้มันถูกต้องไหม ถ้าไม่ถูกต้อง ย้อนกลับ ย้อนกลับ ย้อนกลับมาประพฤติปฏิบัติ เอาสิ่งนี้มาเทียบเคียง นี่หาพื้นที่ของตัวไง

ถ้าหาพื้นที่ของตัว สิ่งนี้เป็นพื้นที่ของตัวไหม ในพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในธรรมวินัย นี่เทียบเคียงๆ เพราะเราเป็นสาวกสาวกะไง เราก็เทียบเคียงกับธรรมและวินัย คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือธรรมและวินัยที่มีอยู่แล้ว ท่ามกลางกึ่งกลางพุทธศาสนา สาวกสาวกะถ้าอาศัยธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นการกล่อมเกลาใจ กล่อมเกลาใจการเปรียบเทียบเพื่อเข้าหาธรรม เพราะเราไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า จะค้นคว้ารู้เองโดยตนเอง เป็นไปไม่ได้

แต่เมื่อมีธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ แล้วเราจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? เราก็เป็นไปไม่ได้อีกเหมือนกัน เห็นไหม ถึงว่าครูอาจารย์ผู้ชี้นำสำคัญมาก ถ้ามีครูอาจารย์ผู้ชี้นำ นี่ปฏิปทาเครื่องดำเนิน ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรามีศีล เรามีความปกติของใจ เรามีความปกติของใจถ้าเรามีศีลเป็นปกติ เราทำสัมมาสมาธิ ถ้าเราทำสัมมาสมาธินี่ ถ้าเราทำของเรา สมาธิของเรา มิจฉาสมาธิก็มี สัมมาสมาธิก็มี

ถ้าเป็นมิจฉาสมาธินี่เรากดเอาเราถ่วงเอาขนาดไหน เราเคร่งเครียดกับหัวใจ เราบีบคั้นใจ แต่ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ การดำรงชีวิตของภิกษุ อยู่กับครูอยู่กับอาจารย์ นี่นิสัย นิสัยคือเครื่องดำเนินไง ตั้งแต่วัตรปฏิปทา กินน้อย นอนน้อย การประพฤติปฏิบัติมาก อย่าห่วงคุยกัน อย่าห่วงการวิเคราะห์วิจัย วิเคราะห์วิจัยหัวใจตั้งสติให้ดี แล้วสิ่งนี้ควรค้นคว้า นี่ปฏิปทาเกิดตรงนี้ไง

หลวงปู่มั่นท่านออกประพฤติปฏิบัติจนท่านได้หลักได้เกณฑ์นะ แล้วหลวงปู่มั่น พระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านทำเป็นคติเป็นตัวอย่างไว้ อยู่กับหลวงปู่เสาร์นะ หลวงปู่มั่นบวชเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ เพราะหลวงปู่เสาร์เอาหลวงปู่มั่นออกมาบวช เวลาหลวงปู่มั่นไปหาหลวงปู่เสาร์ ทำข้อวัตรปฏิปทา วางไว้ให้เป็นคติให้เป็นตัวอย่าง นี่ข้อวัตรปฏิบัติสายหลวงปู่มั่นนี่หลวงปู่มั่นเป็นผู้ค้นคว้า เพราะหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติมา ท่านสะสมมาเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งใดท่านสงสัยท่านจะค้นคว้าในพระไตรปิฎก ท่านจะถามใจของท่าน ท่านจะนั่งทำสมาธิของท่าน น้อมกลับไปถาม ถามสิ่งที่ว่าเจ้าของธรรมและวินัย

ธรรมและวินัยนี้คือศาสดาของเรา นี่คือธรรมวินัยนะ เป็นสมมุติ เป็นกิริยา เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านดับขันธ์ไปแล้วล่ะ เพราะวิมุตติมี วิมุตตินี้มี จิตนี้มี จิตเกิดจิตตายพิสูจน์ได้นะ เวลาพิสูจน์ได้ เวลาทุกข์ๆ ยากๆ นี่เกิดตายๆ ขณะที่เกิดตาย เวลาจิตมันชำระกิเลสออกไปแล้ว จิตที่ชำระกิเลสออกไปแล้วจิตไปไหนล่ะ อาสเวหิ อาสวะสิ้นไป จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ จิตนี้วิมุตติ จิตนี้มีไง

หลวงปู่มั่นท่านทำความสงบของใจ ขณะที่ท่านยังไม่ถึงสิ้นสุดกิเลสนี่แหละ ท่านสงสัยในวัตรปฏิปทาเครื่องดำเนิน ท่านจะทำความสงบของใจ ทำความสงบของใจเข้าไป พอจิตถึงความสงบ น้อมถามไง น้อมหาถามพระ น้อมหาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาในสมาธิ มาในนิมิต มาอบรมสั่งสอนหลวงปู่มั่น นี่มาได้อย่างไร ในเมื่อวิมุตติแล้วจะมาหาสมมุติได้อย่างไร

วิมุตติแล้วจะมาหาเราโดยปุถุชนนี่ไม่ได้หรอก เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นวัฏฏะ เราเป็นมนุษย์ เรามีขันธ์ ๕ เรามีอายตนะ มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ สิ่งนี้สมมุติก็สื่อกับสมมุติ สัตว์ สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉานนี่มันก็มีหู มีตา มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจเหมือนกัน เรานี่สื่อกับสัตว์ได้นะ เราเล่นกับสัตว์ เราจะเมตตาสัตว์ สัตว์จะรัก ทำไมเราสื่อกับสัตว์ได้ล่ะ ทำไมเราสื่อกับพระอริยเจ้าไม่ได้ล่ะ? ไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติของวัฏฏะไง

แต่ขณะที่ว่าหลวงปู่มั่นท่านทำความสงบของใจ ท่านดับอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น แต่ท่านเปิดใจไว้ไง สิ่งที่เปิดใจไว้ สิ่งนี้ทำความสงบ เวลาหลวงปู่มั่นทำความสงบนะ เวลาจิตที่มันเข้าไปอัปปนาสมาธิ ถึงอัปปนาสมาธินี่จิตสักแต่ว่ารู้ มันดับหมด สิ่งนี้ก็รับตอบสนองกับเทวดา อินทร์ พรหม ที่มาฟังเทศน์ไม่ได้ เวลาท่านลงไปถึงอัปปนาสมาธิไปพักไว้ แล้วเวลาท่านคลายออกมา ถ้าเทวดาหรือว่าสิ่งที่ว่าเป็นเทพยังไม่มา ท่านจะกลับเข้าไปในอัปปนาสมาธิก่อน ไปพัก แล้วท่านถอนออกมาจากอัปปนาสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ พอดีรับกับแขก รับกับสิ่งที่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม นี่เวลาท่านชำนาญแล้วถึงทำได้ขนาดนั้นนะ

แต่ขณะที่ท่านลังเลสงสัยในวัตรปฏิบัติล่ะ ท่านจะวางวัตรปฏิบัติไว้ให้กับลูกศิษย์ลูกหา ไว้ให้กับอนุชนรุ่นหลัง เห็นไหม นี่สงสัยในการดำรงชีวิตในการดำรงต่างๆ นี่ถาม น้อมถามนะ น้อมถามว่าควรจะใช้ผ้าอย่างไร ควรจะห่มอย่างไร ควรจะใช้ชีวิตอย่างไร ธุดงควัตรทำอย่างไรให้ถูกต้อง สิ่งใดเป็นการชำระ¬ขัดเกลากิเลส เพราะธรรมและวินัยนี้เป็นกิริยา กิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลาสงสัยสิ่งนี้ เข้าความสงบอย่างนี้ แล้วน้อมใจ น้อมใจไป

หลวงปู่มั่นท่านเคยให้เล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง ครูบาอาจารย์อบรมกันต่อๆ มาว่าหลวงปู่มั่นท่านเข้าอย่างนั้น ย้อนกลับมา พระพุทธเจ้ามาสอนมาบอกวิธีการ พระอรหันต์ในสมัยพระพุทธกาลมาสอนมาบอกวิธีการ ควรจะใช้ผ้าอย่างนี้ ควรทำอย่างนี้ นี่ท่านได้รับได้การสัมผัสจากภายใน แล้วท่านเอาออกมาเป็นเครื่องดำเนินกับในการดำรงชีวิตของท่าน ในการประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านดำรงชีวิตของท่านด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาสิ่งนี้

นี่กึ่งพุทธกาล ในพระไตรปิฎกว่า “กึ่งพุทธกาล ศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง” แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็สร้างบุญญาธิการของท่านมาเพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน แต่ถึงจุดกึ่งหนึ่ง การเกิดในชาติเป็นหลวงปู่มั่นนี้ท่านคิดว่า ในการประพฤติในการเกิดและการตายมันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน เกิดตายๆ ก็ทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แล้วมีอำนาจวาสนามหาศาล เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา ขณะที่ว่าเราเกิดมาเป็นสาวกสาวกะถ้าประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ถึงลาพระโพธิสัตว์ไง แล้วออกมาประพฤติปฏิบัติเป็นสาวกะ สาวกผู้ประพฤติปฏิบัติ

แต่เพราะสิ่งที่ว่าท่านมีบุญญาธิการอย่างนั้นมา นี่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้แล้วนะว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองอีกหนหนึ่ง” ถ้าศาสนาจะรุ่งเรือง จะรุ่งเรืองที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่รุ่งเรืองที่ใจของสาวกสาวกะก่อน ถ้ารุ่งเรืองในสาวกสาวกะเพราะอะไร เพราะมันชำระกิเลสไง

สิ่งที่บีบคั้นในหัวใจ พื้นที่ในหัวใจของเรา เราจะไปกล่าวตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาว่าเป็นของเรา ถ้าเราไปสร้างตึกสร้างเรือนในที่ของคนอื่น เราไปกล่าวตู่ เห็นไหม การศึกษา ภาคการศึกษาจะเจริญ นี่ศึกษาไปศึกษามา ศึกษาเรื่องของโลกออกไป ออกไปจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะไปสร้างในที่ดินของคนอื่น ไปสร้างในที่ดิน แล้วไปสร้างในพื้นที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็กล่าวตู่ แล้วก็บิดเบือนนะ

ถ้าสร้างในที่ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมไว้นะว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เรียนศึกษาแล้วให้ปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะธรรมมันจะเกิดที่ใจ ถ้าศาสนาจะเจริญรุ่งเรือง หลวงปู่มั่นถึงย้อนกลับมาทำหัวใจของเราให้ผ่องแผ้ว หัวใจจะผ่องแผ้วเริ่มต้นจากตรงนี้ไง

การเริ่มต้น พื้นที่ นี่สิ่งที่การเริ่มต้น ความจะก่อร่างสร้างตัว สิ่งนี้แสนยาก เพราะการเริ่มต้นที่ถูกต้อง เห็นไหม เราดูสิ ในผู้ที่ประพฤติปฏิบัติทุกคน เริ่มต้นต้องทำความสงบของใจเป็นเรื่องที่แสนยากเลย เพราะอะไร เพราะเหมือนไม้ดิบๆ ไง ไม้ดิบๆ คือไม้สดไม้ชื้นนี่การจุดเผาไฟมันจะยาก ถ้าไม้แห้งมันจะทำได้ง่าย เห็นไหม ถึงต้องมีศีลก่อนไง

ศีล ศีล ๕ คือปกติของมนุษย์เขา ในการเสพกามของเขา เขาก็กาเมสุมิจฉาจาร ในคู่ครองของไม่ผิดหรอก นี่ในเรื่องของศีล ศีลอย่างนี้เพื่อการดำรงชีวิตของโลกเขามีความสุขของเขามีความเป็นไปของเขา เพราะอะไร เพราะเป็นสัญชาตญาณของสัตว์ เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ต้องมีการสืบต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าถึงจะเป็นมนุษย์ก็สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์กับโลก ให้ไม่ทำลายกัน ให้อยู่กันเป็นคู่เป็นครองกัน นี่คือศีล ๕ ไง นี่คือศีล ๕ ศีล ๕ นี่คือปุถุชน คือเรื่องของคฤหัสถ์เขา

แล้วถ้าเป็นคฤหัสถ์แล้วมีอำนาจวาสนามีใจใฝ่หา มีใจใฝ่หาต้องถือศีล ๘ ศีล ๘ พรหมจรรย์แล้ว ถือพรหมจรรย์ เป็นวันเป็นเดือนเป็นปี แล้วแต่ออกประพฤติปฏิบัติ แล้วศีล ๑๐ ล่ะ ศีลสามเณร ศีล ๒๒๗ ล่ะ นี่ศีลนี้เป็นเครื่องดำเนินเพื่อให้ไม้นั้นตัดไม้แล้วตากแดดให้ไม้มันแห้ง แม้แต่การก่อสร้างไม้สดเขายังไปปูพื้นไปทำอะไร ถึงเวลามันแห้งมันยังห่าม มันยังไม่เป็นประโยชน์เลย

นี่ก็เหมือนกัน ในการประพฤติปฏิบัติ ถึงจะต้องเรียนปริยัติมา สิ่งที่เป็นปริยัติแล้วเราจะออกประพฤติปฏิบัติ เราต้องหาหัวใจของเราไง ถ้าหัวใจของเรานี่ สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติโดยไม้ดิบๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันก็เป็นโลกียปัญญาไง สิ่งที่เป็นโลกียปัญญา กิเลสในหัวใจนี่ให้มันขับไส ให้มันกล่าวตู่ ให้มันยึดพื้นที่ของคนอื่นแล้วก็ทับซ้อนๆ ไป

ในสมัยปัจจุบันนี้ ในอินเดีย ในพื้นที่เดียวกัน เขาบอกว่าอันนี้เป็นโบสถ์ของพราหมณ์ อันนี้เป็นโบสถ์ของฮินดู ในพื้นที่เดียวกัน ในการสร้างซับซ้อนๆ ในที่เดียวกัน ทำให้เกิดสงคราม ทำให้สงครามเกิดการฆ่าฟันกัน เกิดการทำลายกัน แล้วนี่หัวใจล่ะ กิเลสมันยึดอยู่ในหัวใจนะ แล้วเราเอาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาทับซ้อน แล้วเราว่านี้เป็นพื้นที่ของธรรม เรากล่าวตู่นะ แล้วเวลามันคลายตัวออกมา เวลามันเสื่อมนะ เวลาทำความสงบของใจ นี่ความสงบของใจว่าสิ่งนี้เป็นวิปัสสนา เราเข้าใจตามสิ่งต่างๆ นี่เริ่มต้นผิดไง

ถ้าเริ่มต้นผิดนะ เราเข้าใจของเรา เรากล่าวตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันไม่เป็นความเป็นจริงเลย เพราะกิเลสมันมีอำนาจเหนือเราไง กิเลสมันเหนือเรา แล้วคิดว่าสิ่งที่เราทำนี้เป็นความถูกต้อง ความถูกต้องนะ เพราะทำไม? เพราะเราค้นคว้า เราถอดออกมาจากพระไตรปิฎกเลย เราถอดออกมาจากธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย มันจะผิดไปไหนล่ะ แต่กิเลสในหัวใจเขาไม่เข้าใจนะ

เหมือนเช่น สิ่งที่ว่าภาชนะที่เป็นพิษ อะไรใส่เข้าไปในภาชนะนั้นเป็นพิษหมด หัวใจมีกิเลสอยู่มันเป็นพิษนะ สิ่งที่เป็นพิษ แต่ความเข้าใจของกิเลสมันบิดเบือนว่าสิ่งนี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันก็ทับซ้อนกันๆ ไป แล้วทับซ้อนนี่ สิ่งที่ทับซ้อน เวลาสิ่งที่เขาสร้างโบสถ์วิหารทับซ้อนกัน เวลาเขาถึงจุดหนึ่ง ผู้ที่เขาจะใช้ประโยชน์ของเขา เขาก็เอาสิ่งนี้มาเป็นการดำเนินทางการเมืองของเขา แล้วเขาจะให้สิ่งนี้มีการทำลายกันตลอดไป เห็นไหม นี่การฆ่ากันจากภายนอกนะ

แต่ถ้าในหัวใจของเรานี่ กิเลสเวลามันทำความสงบ มันอาศัยธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันเอาสิ่งเข้ามาทับซ้อนมัน แล้วมันซึ้งสิ่งนี้ มันคิดว่าสิ่งนี้เป็นธรรม ขณะที่คิดนี้ใจมันเป็นธรรมไง ขณะที่เป็นธรรม แต่เวลากิเลสมันมีอยู่นี่มันขัดไสออกมา เราไม่มีสติสามารถยับยั้งได้ มันจะเป็นความฟุ้งซ่าน มันจะเป็นความทุกข์ในหัวใจไง ขณะที่เป็นความทุกข์ในหัวใจ มันก็แสดงตัวออกมาด้วยที่ว่าสิ่งนี้เป็นธรรมไง แล้วมันก็ตะแบง มันก็ทำลาย มันก็กล่าวตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันก็พยายามจะทำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นความพอใจของมันไง

ในเมื่อทำเป็นความพอใจของมัน ถ้าทำไม่ได้มันก็แอบทำในที่ลับของมันนะ ถ้าทำที่แจ้งนะ มันก็จะอาศัยอำนาจต่างๆ เข้าไปบิดเบือนทำให้ความพอใจของมัน ให้ความพอใจของมัน ให้มันมีอำนาจเหนือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้หรอก

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะว่าเราหลอกตัวเอง สิ่งที่เราหลอกตัวเองนะ แล้วผู้ที่เขามีหูมีตา ผู้ที่เขามีปัญญาของเขา เขาเทียบเคียงได้ คนที่มีหูมีตานะ เขาก็ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน แล้วเขาก็มีความซื่อสัตย์ เขามีความซื่อสัตย์ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามีความเคารพในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเขาปฏิบัติได้เขาก็จะปฏิญาณตนว่าเขาปฏิบัติได้ตามที่เขาปฏิบัติได้ ถ้าเขาปฏิบัติไม่ได้เขาก็บอกเขามีอำนาจวาสนาน้อย เขาก็ขอจะจรรโลงศาสนา ขอจะเชิดชูศาสนา

เห็นไหม ดูชาวพุทธเราสิ มีลูกชาย อยากให้บวช เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก การบวชนี้เอาเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อและแม่มาค้ำจุนศาสนา สิ่งที่ค้ำจุนศาสนา ศาสนานี้เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ค้นคว้ามาด้วยชีวิต ด้วยความทะนุถนอม ด้วยความเป็นไป ด้วยการสร้างเป็นพระโพธิสัตว์มาอย่างมหาศาลเลย แล้วเอาเลือดเนื้อเชื้อไขเขาเข้ามาจรรโลงศาสนา เขาจะได้บุญกุศลนะ นี่คนที่เขาเป็นขนาดคฤหัสถ์เขายังมีความคิดขนาดนั้น เขายังปกป้องศาสนาขนาดนั้น แล้วเราเป็นนักบวช เราเป็นภิกษุ เราเป็นผู้ที่เข้ามาประพฤติปฏิบัติ แต่ขณะที่เราเดินผิดทางโดยที่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันต้องการ นี่มันทับซ้อนที่ของมันไป มันอ้างอิง มันทำลาย ถึงที่สุดแล้วเวลามันเสื่อมสภาพออกไป มันก็จะต้องบิดเบือนให้สิ่งนั้นเป็นอำนาจของมัน ทั้งๆ ที่เป็นภิกษุนะ

แต่เวลาคฤหัสถ์ พ่อแม่เขาเป็นชาวพุทธ เขาอยากให้ลูกได้บวชได้เรียน บวชเรียนเพื่อให้เป็นคนที่ว่ามีคุณธรรมในหัวใจ การดำรงชีวิตของเขา ออกมาในการดำรงชีวิตของเขานี้มันเป็นคนสุก คนสุกคือว่าเขาไม่ทำลายให้ชีวิตเขามัวหมอง เขาจะมีศีลมีธรรมพอสมควรของเขา การดำรงชีวิตของเขาในโลกเขาจะได้ไม่ตกไปในที่ต่ำ อย่างน้อยก็ถ้ามีศีล ๕ โดยบริสุทธิ์ ทำด้วยมีสติสัมปชัญญะ แล้วไม่มีอารมณ์หรือว่ามีกรรมที่มันทำให้ทำความผิดพลาด เห็นไหม ขณะที่มีศีล ๕ ถ้ามีสติดีๆ นี่ปิดอบายภูมิได้นะ ปิดอบายภูมิคือมันไม่ทำความชั่วไง มันไม่ทำจิตให้ไปตกในอบายภูมิ

แต่ถ้าจะปิดอบายภูมิได้ มันต้องหาพื้นที่ให้ได้ แล้วทำลายอวิชชาให้ได้ ทำลายสิ่งที่ว่าเป็นสักกายทิฏฐิให้ได้ ถ้าสักกายทิฏฐิขาดออกไปจากใจ สติสัมปชัญญะมันมีสมควร สมควรเพราะว่าสติมันจะพร้อมตลอดไป มันจะเป็นอจลศรัทธาไง อจลศรัทธา ความศรัทธาอันนี้มันจะทำความผิดไม่ได้ เพราะทำความผิดนี่มันสะเทือนหัวใจ

ความคิดการกระทำเกิดจากใจทั้งหมด ถ้าใครเป็นสุภาพบุรุษ มีความคิดออกมาในหัวใจ มันสะเทือนใจนะ เรานี่รู้ คนทำดีทำชั่วนี่รู้ในหัวใจ แต่บางทีมันทนกับอำนาจของกิเลสไม่ไหวหนึ่ง เพราะบางทีมันคิดว่ามันอยาก มันต้องการ มันถึงบิดเบือนแล้วต้องการทำลายคนอื่น ทำลายเพื่ออำนาจบาตรใหญ่ของตัว ต้องการให้คนนับหน้าถือตา สิ่งที่โลกธรรม ๘ สรรเสริญนินทา มันเป็นสิ่งที่ว่างูพิษคอยฉกหัวใจตลอด แต่ถ้าคนโง่ มันก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นอำนาจวาสนา เป็นการสรรเสริญ เป็นการยกย่อง เป็นการเชิดชูกัน เห็นไหม สิ่งนี้ต้องการสิ่งนี้เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ตายไปตกนรกอเวจีมันก็ไม่ยอมรับสิ่งนี้นะ ทั้งๆ ที่ความจริงต้องเป็นอย่างนั้น แต่เพราะกิเลสมันปิดตามันไง สิ่งที่กิเลสปิดตานี่มันก็บิดเบือนไปสภาวะแบบนั้นนะ

ทั้งๆ ที่คฤหัสถ์ชาวพุทธเรานี่เขายังต้องการให้ลูกต้องการให้หลานของเข้ามาศึกษาธรรม ศึกษาธรรมมาเพื่อให้การดำรงชีวิตของเขาเป็นความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อจะเป็นคุณงามความดีของเขาไง นี่น้ำใจของคฤหัสถ์นะ แล้วชาวพุทธ แล้วเราเป็นภิกษุเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง ถ้าเริ่มต้นผิด มันผิดไปตั้งแต่ต้น แล้วก็จะผิดไปตลอด ถ้าผิดไปตลอดนี่มันทำลายไปตลอดเลย ทำลายโอกาสของตัว

เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก เพราะสัตว์โลก เห็นไหม จิตนี้มหาศาลเลย แล้วไม่มีโอกาสเกิด ไม่มีโอกาส คำว่า “ไม่มีโอกาส” คือเขาไม่ได้เกิดหรือ? เกิด เขาเกิดอยู่แล้ว จิตนี้ไม่มีเว้นวรรคเลย ไม่มีช่องวางเลย มันจะเกิดตลอดไป แต่เกิดในสถานะอะไรล่ะ? เกิดในสถานะของสัตว์ เกิดในสถานะของเปรตภูตผีปีศาจ เกิดในสถานะของเทวดา อินทร์ พรหม แล้วแต่อำนาจไง

แต่การเกิดเป็นมนุษย์นี่มันกึ่ง ระหว่างช่วงกลางมันสมดุล เกิดมาแล้วมีร่างกายมีจิตใจ จิตใจนี้มีความคิด แต่ร่างกายต้องการอาหารตลอดไป นี่มันบีบคั้นตลอดไปไง สิ่งที่บีบคั้นคือโรคหิว โรคประจำตัวของผู้เกิดเป็นมนุษย์ แต่เพราะโรคหิวอันนี้มันจะเตือนสติไง เตือนสติเตือนใจว่าเกิดมาแล้วต้องอาศัยอาหาร ต้องดำรงชีวิตต้องแสวงหา ถ้าทำดีก็เป็นบุญ ถ้าทำชั่วก็เป็นบาป นี่มนุษย์เกิดมาตรงนี้ไง

เกิดเป็นมนุษย์ถึงแสนยาก เกิดพบพระพุทธศาสนาด้วย พบพระพุทธศาสนานี่มีความศรัทธาความเชื่อ เกิดมาแล้วมีความศรัทธาความเชื่ออยากออกประพฤติปฏิบัติอยากออกบวชเป็นภิกษุเพื่อการประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติไปแล้วนี่ ทำไมกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันบิดเบือนอย่างนั้นล่ะ ทำไมเริ่มต้นให้มันบิดเบือนไป เพราะอะไร

มันบิดเบือนไปเพราะการคบมิตร การคบครูอาจารย์ ครูอาจารย์ที่ไม่เข้าถึงธรรมไง แล้วเรานี่มีอำนาจวาสนา กึ่งพุทธกาลเกิดมา ครูบาอาจารย์เราตั้งแต่หลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นลงมานี่ เป็นขบวนการลงมา ส่งต่อมาเป็นทอดๆ นะ หลวงปู่มั่นท่านค้นคว้าปฏิปทาเครื่องดำเนินมหาศาลเลย สิ่งที่ค้นคว้าปฏิปทาเครื่องดำเนินมานี่กว่าจะได้มานะ

เพราะสิ่งที่ค้นคว้ามานี่ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีอยู่แล้ว แต่เพราะภิกษุเขาปล่อยวางกัน เขาไม่ได้ประพฤติปฏิบัติกัน เห็นไหม เวลาหลวงปู่มั่นออกมาประพฤติปฏิบัติ แม้แต่ กปฺปิยํ กโรหิ แม้แต่การนิสีทนะ เขาไม่เอากันแล้ว แล้วหลวงปู่มั่นมาประพฤติปฏิบัติ จนเป็นที่เขม่น เป็นที่เขาไม่ยอมรับกันนะ สิ่งที่เขาไม่ยอมรับเพราะว่าสิ่งนี้

ในเมื่อกิเลสเต็มหัวใจ ว่าสิ่งการประพฤติปฏิบัติ วัตรปฏิปทาของภิกษุนี่มันเป็นการอวดดี อวดเด่น อวดจะมีอำนาจเหนือกว่าผู้ที่เขาไม่ทำ ถ้าไม่ทำด้วยกันมันก็อยู่กันปกติ แล้วมาทำทำไม ทำขึ้นมานี่ให้เขามองความต่าง เห็นไหม ทั้งๆ ที่ทำคุณงามความดีนะ แล้วคุณงามความดีนี้ไม่มีใครอุตริคิดขึ้นมาเองเลย มันเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นธรรมอยู่ในพระไตรปิฎก มันมีอยู่นะ ในปาฏิโมกข์ก็มีอยู่แล้ว กายะพันธนัง การซ่อนการเร้น นิสีทนะ มีทุกอย่างเลย

ที่องค์หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติมานี่มันมีอยู่แล้วในธรรมวินัย แล้วเวลาท่านวางปฏิปทาเครื่องดำเนิน สิ่งที่มีอยู่แล้ว แล้วจะทำอย่างไร จะปกป้องอย่างไร จะวัดอย่างไร จะตัดอย่างไร จะทำอย่างไร เห็นไหม ท่านยังกำหนดจิตที่ว่าน้อมไปถามๆ ตลอดนะ สิ่งที่น้อมไปถาม เราถึงบอกเกิดมาพบครูบาอาจารย์ระดับอย่างนี้ ผู้ที่ชี้นำแล้วเปิดช่องทางให้เรานี่เหมือนกับคนที่ว่าเป็นโรคเป็นภัยแล้วไม่มียารักษา

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมโอสถนี้เป็นยารักษาหัวใจ เป็นยารักษากิเลส แต่วัตรปฏิปทามันเหมือนตัวยา มันเหมือนเครื่องดำเนินไง ถ้าเรามีตัวยามีเครื่องดำเนิน เราพยายามค้นคว้าของเราขึ้นมา ธรรมโอสถนะมันจะแก้ไขกิเลส ทำลายกิเลสในหัวใจเลย ถ้าทำลายกิเลสในหัวใจ ไม่ให้เราบิดเบือน นี่ธรรมมีผลอย่างนี้ไง

ธรรมมีผลเพราะธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแล้วหนึ่ง ธรรมมีผลเพราะเราเกิดมาพบครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ตาใสๆ นะ ไม่ใช่ครูบาอาจารย์ที่ตาบอดสีหรือตาบอดสนิท ถ้าตาบอดสีนะมันเห็นเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าสีอะไร ไม่เข้าใจตามสีสันของอย่างนั้นเลย แล้วถ้าตาบอดสนิทนี้ยิ่งจินตนาการใหญ่ ยิ่งคาดหมาย ยิ่งด้นเดา ยิ่งพาหลงออกนอกลู่นอกทาง

แต่เราเจอหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ เจอครูบาอาจารย์ที่ชี้นำขึ้นมานะ มันจะควรภูมิอกภูมิใจ ถ้าเราเริ่มต้นที่ถูกทาง เห็นไหม ต้องทำสมาธิ ต้องกำหนดพุทโธให้สงบเข้ามา แล้วพอจิตสงบ จิตตั้งมั่น เพราะมีสติ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สิ่งนี้เป็นสมถะ นี่คือกรรมฐาน ฐานของงานเกิดตรงนี้ พื้นที่ของเรา ถ้าพื้นที่ของเรามี ผลจะเกิดจากพื้นที่ของเรา พื้นที่ของเราเป็นผู้รับผล

สิ่งที่รับผล เห็นไหม ครูบาอาจารย์บอกเลยนะ เนื้อนาบุญของโลก เขาหว่านข้าวหว่านกล้าลงไปในเนื้อนาของโลก เขาทำของเขา เขาเก็บข้าวเก็บเกี่ยวของเขาไป นี่เนื้อนาได้แต่ซังข้าวนะ ซังข้าวไง นี่เนื้อนาของโลก นี้เป็นการปฏิคาหก เครื่องดำเนินของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาไง

แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติสิ เนื้อนาของเรา ถ้าเรามีพื้นที่นี่เนื้อนาของเรา ถ้าเราทำในเนื้อนาของเรา เนื้อนานี่เราพลิกคว่ำพลิกหงาย เราไถแล้วเราหมั่นคราดหมั่นไถหมั่นทำลายมัน ถ้าจิตมันเห็นกาย มันทำลาย ใช้วิปัสสนาทำลายให้แปรสภาพไปให้เป็นดิน เป็นน้ำ ให้ย่อยสลายไป ย่อยสลาย ให้ทำลายตลอดไป นี่เราก็พลิกเนื้อนาของเรา เราก็คราดเราไถเนื้อนาของเรา เราต้องทำนาของเราก่อน ถ้าเราปรับพื้นนาของเรา นี่นาของเรามีแต่วัชพืช มีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วมันจะเกิดผลได้อย่างไรล่ะ เนื้อนาก็หว่านมา ข้าวก็ไม่ขึ้นอีกต่างหากนะ แล้วจะว่าภิกษุเจ้าของนาได้แต่ซังข้าวๆ

เจ้าของนาได้แต่ซังข้าวนี้เปรียบเทียบไม่ให้พระเห่อเหิม ไม่ให้พระคิดว่าตัวเองนี่ตัวเองเป็นพระ ทุกคนต้องยกย่อง...ภิกษุเป็นผู้ขอ ภิกษุไง ภิกษุเป็นผู้ที่ไม่มักมาก สิ่งนี้เราแก้ไขเข้ามา อันนี้คือดำรงชีวิตเข้ามา

ถ้าเราทำเนื้อนาของเรา เนื้อนานี้เราทำถึงที่สุดนะ ภวาสวะไง ทำลายภพชาตินะ ทำลายที่อยู่ของกิเลสนะ กิเลสนี่มันหลอกหัวใจแล้วมันเข้าใจว่ามันกล่าวตู่ว่าหัวใจนี้เป็นของมัน แล้วมันก็ขี่คอ การที่วิปัสสนาเข้ามาทำลายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ความเห็นกามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง ทำลายกามราคะถึงที่สุดนะ ถึงที่สุดจะไปเจอตัวภพ เจอจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส เห็นไหม นี่ภวาสวะ นี่ตัวอวิชชา ถ้าทำลายตรงนี้ นี่คือตัวจิต ตอของจิต ตัวจิตเลย ถ้าทำลายจิต

หมั่นคราดหมั่นไถ บีบคั้น ทำลายจนถึงที่สุด ตัวจิตนี้โดนทำลาย จิตนี้ปล่อยวางเข้ามาทั้งหมดนะ ปล่อยขันธ์ เห็นไหม ปล่อยขันธ์อย่างหยาบ ปล่อยขันธ์อย่างกลาง ปล่อยขันธ์อย่างละเอียด พิจารณากายนอก ทำลายกายนอก ปล่อยแล้วปล่อยเล่าจนถึงสักกายทิฏฐิขาดไป พิจารณากายซ้ำมาเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ นี่ปล่อยอุปาทานเข้ามา พิจารณาอสุภะ อสุภัง อสุภะ อสุภังนี่มันเป็นกามราคะ ปล่อยกามราคะมาแล้วนี่เศษส่วนยังต้องหมั่นคราดหมั่นไถ ทำลายเศษส่วนออกไป พอปล่อยหมด ว่างหมดเลย นี่! นี่ตอของจิตนะ นี่พื้นที่นะ นี่ไม่ไปตื่นพื้นที่นี่ธรรมเกิดตรงนี้ ผลของธรรมจะเกิดจากจิตดวงนี้ จิตดวงนี้จะรู้จักสัจจะความจริงทั้งหมดเลย

แล้วเข้ามาถึงตัวจิต ย้อนกลับมาถึงตัวจิต จับตัวจิตนี้ได้ แล้วทำลาย หมั่นคราดหมั่นไถ จิตตัวนี้ ตัวสิ่งที่ว่าไปรับรู้ทั้งหมดนะ ว่างหมด ปล่อยวางเข้ามาทั้งหมดแล้ว แต่ถึงตัวเอง มันยังติดตัวมันเอง แล้วถ้าติดตัวเอง หาตัวเองไม่เจออีกต่างหาก นี่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอด สุดยอดเพราะเราเทียบเคียงสิ่งนี้เข้ามา แล้วครูบาอาจารย์ชี้นำเข้ามาให้เราประพฤติปฏิบัติถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น

ถ้าเริ่มต้นถูก ผลจะต่อเนื่องมาตลอด ถึงที่สุดเข้าไปถึงตัวจิต ตัวจิตเดิมแท้ที่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลสนี่ แล้วจับตัวจิตเดิมแท้นี้ผ่องใส “จิตเดิมแท้ที่ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นจากกิเลส” จะข้ามพ้นจากกิเลสได้อย่างไรล่ะ ถ้าไม่มีครูอาจารย์ชี้นำนะ เวลามันว่างขึ้นมา มันก็ติด ติดไปหมด แม้แต่เรื่องหยาบๆ ข้างนอกมันก็ติด เรื่องกล่าวตู่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันก็ติด แล้วพื้นที่ของใจ กิเลสกับธรรมมันทำลายกัน ย่ำยีกันในหัวใจมันก็ติด มันติดไปทั้งหมดเลย แต่ครูบาอาจารย์นี่คอยเลาะ เพราะเรามีครูอาจารย์คอยชี้นำ มันจะเข้าถูกทางเข้ามาตลอด มันปล่อยวางเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จนถึงที่สุดนะมันไปเห็นตัวภวาสวะไง

กิเลสสวะ อวิชชาสวะ ภวาสวะ กิเลสนี่มันโดนตัดทำลายได้ เห็นไหม กิเลสสวะ อวิชชาสวะ นี่เป็นตัวกิเลส แล้วภวาสวะ ภพอยู่ที่ไหนล่ะ นี่ทำลายทั้งหมดทั้งสิ้น รูปราคะ อรูปราคะ รูปฌาน อรูปฌาน เป็นราคะๆ ความว่างนี่ราคะทั้งหมดเลย พอทำลายสิ่งนี้ออก ทำลายออกไปจากใจ นี่ธรรมมีผลอย่างนี้ไง

ธรรมมีผลเพราะเราเชื่อครูเชื่ออาจารย์ ธรรมมีผลเพราะเราเคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ธรรมและวินัยเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่เคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเหยียบย่ำธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อครูเชื่ออาจารย์ แล้วมันจะประสบผลสำเร็จมาจากไหน เราเคารพธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราไปศึกษาเองในภาคปริยัติเราก็ลังเลสงสัย มีครูบาอาจารย์คอยชี้นำ คอยตอกย้ำแล้วเราประพฤติปฏิบัติตามครูอาจารย์ที่ชี้นำ ชี้นำโดยถูกต้อง เริ่มต้นถูก ถูกเข้ามาเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา จนถึงที่สุดนะ ธรรมมีผล เอวัง